NETFLIX: Warrior Nun (2020 - ?) พลังอันยิ่งใหญ่และความเซอร์ไพรส์อันใหญ่ยิ่ง
- coldread777
- Jul 9, 2020
- 2 min read

แน่นอนว่าต่อให้คนที่ยังไม่เคยได้ชมซีรี่ส์ Netflix เรื่อง Warrior Nun มาก่อน เห็นแค่โฆษณาผ่านสื่อต่างๆ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องทราบว่า ‘ตัวเอก’ (หรือในที่นี้คือ ‘นางเอก’) ของเรื่องนี้คือ เอวา (อัลบา บาทิสตา) หญิงสาวที่ ‘ชีวิต’ พลิกผันสุดขั้ว หลังบังเอิญได้รับพลังพิเศษเหนือธรรมชาติของ ‘เฮโล’ วัตถุโบราณศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำให้เธอจับพลัดจับผลูกลายเป็นหนึ่งในสมาชิก... หรือที่จริงควรจะต้องนับว่าเป็น ‘ผู้นำ’ กลุ่มแม่ชีนักรบแห่ง ‘คณะดาบกางเขน’ (The Order of the Cruciform Sword หรือ OSC)

กระนั้นก็ดังที่เกริ่นไว้ในหัวข้อบทความ แรงบันดาลใจหลักที่ทำให้เกิดเป็นไอเดียของบทความนี้ขึ้นมาก็คือ ซิสเตอร์เบียทริซ (คริสตีนา ทอนเทรี-ยัง) ที่พูดง่ายๆ คือเธอเป็นตัวละครสมทบ แต่กระนั้นก็โดดเด่นมากและความซับซ้อนน่าสนใจไม่แพ้เอวา นางเอกของเรื่อง ที่แม้จะไม่ถึงขั้น ‘ขโมยซีน’ ไปเรียบวุธ แต่กระนั้นสำหรับผู้เขียน ตำแหน่ง ‘รองอันดับที่หนึ่ง’ เป็นของเบียทริซแน่ๆ

อย่างไรก็ดี ก่อนจะไปพูดถึงเรื่องของซิสเตอร์เบียทริซแบบเน้นๆ ผู้เขียนขอเล่าความคิดเห็นส่วนตัวต่อซีรี่ส์เรื่องนี้และตัวละครหลักๆ ในภาพรวมก่อนสักเล็กน้อย (ขอย้ำว่าเป็นเพียง ‘ความคิดเห็น’ อย่าคาดหวังสาระหรือการวิเคราะห์ซับซ้อนอะไรนะจ๊ะ)

ขอเริ่มจากตัวซีรี่ส์ Warrior Nun ซึ่งตามข้อมูลที่ผู้เขียนขออนุญาตลอกมาจาก Wikipedia ระบุว่ามีต้นฉบับเป็น Warrior Nun Areala คอมิกส์สัญชาติอเมริกันทว่าเป็นมังงะสไตล์ (น่าจะประมาณหนังสือการ์ตูนอเมริกันในสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่น - ประมาณนั้น) ผลงานสร้างสรรค์ของ เบน ดันน์ นักเขียนการ์ตูนชาวอเมริกัน เปิดตัวครั้งแรกในเล่ม Warrior Nun Areala #1 (ธันวาคม 1994) โดยสำนักพิมพ์ Antarctic Press และกลายมาเป็นซีรี่ส์ทาง Netflix ในปี 2020 นี้โดย ไซม่อน แบร์รี่ (Simon Barry) ผู้สร้างที่เคยมีผลงานสร้างซีรี่ส์อย่างเช่น Continuum (2012 - 2015), Van Helsing (2016 - 2018) และ Bad Blood (2017 - 2018) มาก่อน ซึ่งโดยส่วนตัวผู้เขียนไม่เคยชมผลงานเรื่องก่อนๆ ของแบร์รี่เหล่านี้เลยสักเรื่อง จึงของดออกความเห็นในประเด็นนี้ หากใครสนใจก็เชิญไปติดตามกันเองตามอัธยาศัย

ย้อนกลับมาที่ Warrior Nun ฉบับซีรี่ส์ ในมุมมองส่วนตัวของผู้เขียน บอกเลยว่าตอนแรกที่เห็นโฆษณาหรือ Trailer ฉันรู้สึกแค่ ‘เฉยๆ ว่ะ’ คือคิดว่าคงงั้นๆ สาเหตุเพราะ 1. เรทติ้งใน imdb และคะแนนนักวิจารณ์ในแหล่งอื่นๆ อยู่แค่ในระดับพอใช้ได้ (สารภาพเลยว่าส่วนใหญ่เลือกเน้นดูเฉพาะเรื่องที่คำวิจารณ์ดี หรือกระแสดังระเบิดเถิดเทิงจริงๆ เป็นหลัก) 2. จากบรรดานักแสดงและภาพในหนังตัวอย่าง รู้สึกว่าออกแนววัยรุ่นไปนิด มุ้งมิ้งไปหน่อย กลับไปดู Dark ซีซั่น 3 ดีกว่ามั้ง? 3. คำเปรียบเปรยที่สื่อฝรั่งมักพูดถึงซีรี่ส์เรื่องนี้ทำนองว่าเป็นเหมือน ‘Buffy the Vampire Slayer ฉบับแม่ชี’ แต่เหตุที่ส่วนตัวไม่ได้อินอะไรกับบัฟฟี่สาวนักล่าแวมไพร์เลยสักนิด ก็เลยเฉยสนิท ทำให้ในวันแรกๆ (ซีรี่ส์นี้เปิดตัวซีซั่นแรกเมื่อ 2 กรกฎาคม 2020 ที่ผ่าน) จึงกดข้ามๆ ซีรี่ส์เรื่องนี้ไป แต่ในที่สุดเมื่อลองกดเข้ามาดูสักตอน กลับรู้สึกว่ามันมีอะไรน่าสนใจอยู่เหมือนกันแฮะ แน่ล่ะว่าในภาพรวม มันยังไม่ถึงขั้นเลิศเลอแบบซีรี่ส์ที่ดังระดับเกรด AAA แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตัวเองรู้สึกเสียดายเวลาแต่อย่างใด

อย่างน้อยที่สุดสิ่งหนึ่งที่ตัวเองรู้สึกว่าได้รับจากซีรี่ส์นี้คือ ความบันเทิง สำหรับกลุ่มผู้ชมวัยรุ่น ซีรี่ส์ก็มีเรื่องสาวๆ หนุ่มๆ น่ารักมุ้งมิ้งพอให้เพลินๆ ผ่านเรื่องของเอวากับ เจซี (เอมิลิโอ ซากรายา) หนุ่มฮ็อตคมเข้มที่เอวาได้พบ และทำให้หัวใจของสาวน้อยคนนี้ ‘วอกแวก’ มิใช่น้อย

อีกกรณีก็เรื่องแบบสาวๆ อย่างการที่เอวา ในฐานะสมาชิกน้องใหม่แต่มาแรงเพราะมีพลังเฮโลฝังอยู่ในตัว ถูกหมั่นไส้แบบไม่มีเม้มโดย ซิสเตอร์ลิลิธ (ลอเรนา อันเดรีย) แม่ชีนักรบอีกคนที่คาดหวังว่าตัวเองจะเป็นผู้ครองเฮโลคนต่อไปดังเช่นบรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ ของเธอ แต่กระนั้น สำหรับผู้ชมกลุ่มผู้ใหญ่ที่ชอบอะไรเข้มข้นปนระทึก ซีรี่ส์เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรให้ดูเอาซะเลยหรอกนะ

นั่นเพราะผู้ชมคอซีรี่ส์สายเข้มก็ยังสามารถเพลิดเพลินบันเทิงใจไปกับพล็อตเรื่องโดยรวมที่สนุกเข้มข้นมีความ ‘หักมุม’ อยู่เล็กน้อย-ปานกลาง อาจไม่ถึงขั้นทำให้หงายหลังตึงระดับหนังหักมุมขั้นเทพ แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดดูถูกสติปัญญาผู้ชม ตั้งแต่ประเด็นในช่วงแรกๆ อย่างเช่น เหตุใดเอวาจึงมาลงเอยที่โบสถ์ของคณะดาบกางเขนในถุงใส่ศพ? เรื่อยไปจนถึงประเด็นการปะทะกันระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์, ศรัทธากับหลักเหตุผล ผ่านตัวละครอย่าง พระคาร์ดินัลดูเร็ตตี้ (โจอาคิม เดอ อัลเมดา) ผู้ที่ทั้งมักใหญ่ใฝ่สูงและเจ้าเล่ห์มิใช่น้อย กับ จิลเลี่ยน ซัลเวียส (เธคลา รูเทน) นักวิทยาศาสตร์ผู้ทะเยอทะยาน ที่ต่างก็มีแง่มุมและลูกล่อลูกชนของพล็อตเรื่องที่พลิกไปพลิกมาชวนให้ลุ้นได้เพลินๆ

กระนั้น สิ่งที่ชวนให้เซอร์ไพรซ์เล็กๆ เพราะในภาพรวมดีกว่าที่คิดก็คือตัวละคร ต้องขอเริ่มที่น้องเอวา ตัวเอกของเรื่องก่อน สาวน้อยหน้าหวานคนนี้ผู้เขียนมองว่าเธอ ‘สอบผ่าน’ ในฐานะนางเอกของเรื่อง แม้พล็อตเกี่ยวกับตัวละครของเธอ ในแง่หนึ่งอาจมองได้ว่ามิได้แปลกใหม่อะไร นี่มันก็พล็อตหนังซูเปอร์ฮีโร่ (ที่เปลี่ยนจากปราบวายร้ายมาปราบปีศาจ) ดีๆ นี่เอง ชีวิต before and after ของเอวาถูกเน้นย้ำถึง ‘ความแตกต่าง’ อย่างชัดเจน ระหว่าง ‘ก่อนได้ครอบครองเฮโล’ vs. ‘หลังได้ครอบครองเฮโล’ ไม่ต่างจากตัวเอกในหนังซูเปอร์ฮีโร่ จะมีที่ฉีกแนวออกมาคือ เอวามีชีวิตที่แย่กว่าตัวละครอย่างเช่น ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ หนุ่มนักเรียนมัธยมสุดเนิร์ดขี้อายธรรมดาๆ ที่กลายมาเป็นสไปเดอร์แมนปล่อยใยไต่ตึก เพราะเดิมทีเอวาต้องอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าภายใต้การดูแลของแม่ชีใจร้ายจอมเฮี้ยบในสภาพพิการต้องนอนติดเตียงเพราะประสบอุบัติเหตุรุนแรงตั้งแต่เด็ก ดังนั้น การได้ครอบครองพลังยิ่งใหญ่ของเฮโลโดยบังเอิญ จึงไม่เพียงเป็นการไต่อันดับจากเลเวล 0 ไปสู่เลเวล 100 หรือ 1,000,000 เพราะสำหรับเอวา เธอน่าจะเริ่มต้นที่ติดลบ

ทว่าจุดที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ การวางบุคลิกตัวละครที่ไม่ทำให้น้องเอวาดูรันทดหดหู่เป็น ‘ศาลาคนเศร้า’ จนเกินเหตุ ที่โดดเด่นและน่ารักน่าหยิกที่สุดคืออารมณ์ขันแบบ ‘ยียวนกวนโอ๊ย’ ของเธอ ซึ่งน้อง อัลบา บาทิสตา ก็แสดงออกมาได้อย่างน่าเอ็นดู รวมถึงความคิดพฤติกรรมการกรี๊ดหนุ่มหล่อตามประสาสาวๆ (โดยเฉพาะเมื่อต้องจำทนอยู่แต่กับแม่ชีสุดเฮี้ยบมานานหลายปี ไม่กรี๊ดสิแปลก!) ที่สำคัญ ผู้เขียนคิดว่ามันนำไปสู่ประเด็นที่สอดคล้องลงตัวกับพล็อตเรื่องหลักดียิ่งขึ้น เพราะมันทำให้ความสับสนงุนงงกับชีวิตช่วง ‘before and after’ เฮโลของเอวานั้นดูมีน้ำหนัก เมื่อเอวาที่เคยต้องทนอยู่กับ ‘ความพิการ’ ในโลกอันคับแคบได้ประสบพบกับ ‘อิสรเสรี’ ของชีวิตใหม่สุดอัศจรรย์และโลกกว้างใหญ่ที่เธอยังไม่เคยพบเห็นมาก่อนเป็นครั้งแรก

จึงไม่แปลกหากเด็กสาวเช่นเธอจะทำใจลำบากเมื่อต้องเลือกระหว่าง ‘การใช้ชีวิต’ เที่ยวชมโลกภายนอกน่าตื่นตาตื่นใจ กับ ‘ความรับผิดชอบ’ ในการทำหน้าที่แม่ชีนักรบ ซึ่งในจุดนี้นับว่าเป็นการสร้างตัวละครใหม่ที่น่าสนใจมากของทีมเขียนบทซีรี่ส์ เพราะมีข้อมูลว่าเดิมทีในคอมิกส์ต้นฉบับ ตัวเอกของเรื่องคือ ซิสเตอร์แชนน่อน (เมลินา แมทธิวส์) แม่ชีผู้ครอบครองเฮโลก่อนเอวา ที่ในซีรี่ส์ซีซั่นแรกนี้กลายเป็นเพียงตัวละครสมทบ

อีกหนึ่งตัวละครที่น่าสนใจก็คือ ซิสเตอร์แมรี่ (โทยา เทอร์เนอร์) แม่ชีสุดห้าวปืนโหด ที่แม้ว่าทั้งลุคและสไตล์การต่อสู้จะมาในแนวพูดน้อยต่อยหนัก แต่ที่ทำให้ยิ่งชอบตัวละครนี้ก็คือ แมรี่เป็นอีกคนที่กวนโอ๊ยไม่แพ้น้องเอวา เรียกว่าห้าวก็ได้ฮาก็ดี แต่ที่น่าสนใจคือ เมื่อเรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ เราจะเห็นแง่มุมที่หลากหลายมากขึ้นของแมรี่ ทั้งความรักและผูกพันกับ ซิสเตอร์แชนน่อน

ที่สำคัญ ‘บทสรุป’ อันชวนกังขาของแชนน่อน เป็นจุดเริ่มต้นที่ผลักดันให้แมรี่ออกสืบหาความจริง พร้อมพยายามปกป้องเอวาในฐานะผู้ครองเฮโลคนล่าสุด ซึ่งหากขาดแมรี่ ก็อาจต้องใช้เวลาอีกนาน “พ่อต้องการคนที่ไว้ใจได้ ลิลิธทะเยอทะยาน เบียทริซฉลาดหลักแหลมแต่สงวนท่าที” ประโยคนี้ที่ คุณพ่อวินเซนต์ (ทริสตัน อุลลัว) บอกกับแมรี่ ว่าเหตุใดเขาจึงเลือกเธอให้เป็นคนออกตามหาเอวา เด็กสาวลึกลับผู้ฟื้นจากความตายเพราะพลังของเฮโล แทนที่จะเป็นลิลิธและเบียทริซ ช่างเป็นการให้นิยามตัวละครแม่ชีนักรบทั้งสามได้อย่างเหมาะเจาะ และแมรี่ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

อย่างไรก็ดี ตัวละครที่ผู้เขียนรู้สึกว่าเกินความคาดหมายที่สุดในเรื่องก็คือ ซิสเตอร์เบียทริซ เพราะในบรรดาตัวละครแม่ชีนักรบ เบียทริซดูเรียบร้อยที่สุด เธอเน้นทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ เชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ / ผู้บังคับบัญชา กระนั้นความ ‘ฉลาดหลักแหลมแต่สงวนท่าที’ ของเธอก็ถูกอธิบายขยายความในหลายฉากหลายตอน ทั้งในด้านความรอบรู้ที่หลากหลาย ความเฉลียวฉลาดในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤตต่างๆ ตลอดจนน้ำจิตน้ำใจเป็นห่วงเป็นใยพี่น้องผองเพื่อนทุกคน

ถึงอย่างนั้น เบียทริซก็มิใช่สาวแหววสุดเลี่ยน เพราะเมื่อถึงคราวบู๊ ลีลาการต่อสู้ก็โดดเด่นชวนอึ้ง จึงเรียกได้ว่าเธอนั้นครบเครื่องทั้งบุ๋นทั้งบู๊ และนักแสดงสาวหน้าใหม่ชาวฟินแลนด์ คริสตีนา ทอนเทรี-ยัง ก็รับบทนี้ได้อย่างโดดเด่นน่าประทับใจมาก โดยเฉพาะเมื่อ Warrior Nun เพิ่งจะเป็นเพียงผลงานแสดงเรื่องแรกของเธอเท่านั้น ซึ่งตามข้อมูลบทสัมภาษณ์ของสาวทอนเทรี-ยัง ใน Briftake.com ระบุว่าสาวฟินแลนด์คนนี้มีเครดิตด้านการศึกษาที่โดดเด้งไม่น้อย เพราะเธอเรียนจบจาก Guildhall School of Music & Drama สถาบันการศึกษาด้านดนตรีและการละครที่ทั้งเก่าแก่และมีชื่อเสียงในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และยังร่วมแสดงกับ Bolshoi Ballet Academy อันเลื่องชื่อ ดังนั้น ลีลาการต่อสู้ในฉากแอ็คชั่นสุดพลิ้วไหวในซีรี่ส์นี้ น่าจะเป็นลีลาของเธอเองล้วนๆ มิใช่จากนักแสดงแทน

แต่เหนืออื่นใด สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจตัวละคร ซิสเตอร์เบียทริซ ที่สุดและขอยกให้เป็น ‘เซอร์ไพรส์อันใหญ่ยิ่ง’ ของซีรี่ส์เรื่องนี้ก็คือ ฉากสำคัญฉากหนึ่งในตอนที่ 8 ที่มีชื่อว่า “สุภาษิต 14:1” (Proverbs 14:1) ขณะที่เบียทริซอ่านเรื่องราวจากหนังสือที่รวมบันทึกของบรรดาแม่ชีนักรบในอดีตกับเรื่องของซิสเตอร์เมลานีในปี 1942 ให้เอวาได้ฟัง ฉากนี้ไม่เพียงเผยให้เห็นแง่มุมชีวิตที่น่าเศร้าของผู้หญิงคนหนึ่งในช่วงประวัติศาสตร์โลกอันเลวร้ายและ ‘จิตใจอันเข้มแข็ง’ ของแม่ชีนักรบในอดีต แต่ขณะเดียวกัน ผู้เขียนมองว่าช่วงเวลานั้นยังได้เผยให้เห็นอีกด้านของเบียทริซ ‘อีกด้าน’ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนของแม่ชีนักรบผู้ ‘ฉลาดหลักแหลมแต่สงวนท่าที’
นั่นคือความบอบบางและอ่อนไหวในฐานะเด็กสาวและมนุษย์คนหนึ่ง
留言