top of page
Search

Midsommar: A Midsummer Nightmare

สยองกลางแดด

Published: 04 Jan 2020


Midsommar (2019) ภาพยนตร์ที่เป็นผลงานกำกับล่าสุดของ อารี แอสเตอร์ (Hereditary) เข้าฉายในบ้านเราและลาโรงไปแล้วพักใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าใครที่ได้ชมแล้วน่าจะยังคง ‘จดจำ’ หนังสยองขวัญเรื่องนี้ได้ดี โดยเฉพาะในแง่ของความโดดเด่น แหวกแนว เพราะนำเสนอเรื่องสุดสยองแสนสะพรึงท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้า ท้องฟ้าสดใส และมวลดอกไม้สวยสะพรั่งตระการตา แต่นอกเหนือจากภาพที่เราได้เห็นกันบนจอภาพยนตร์ บทความนี้ขอชวนมาลองคิดกันว่าเหตุใดความสยองกับแดดสวยฟ้าใส จึงไปด้วยกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนกลายเป็นคำที่บทความหนึ่งของ BBC เรียกว่า ‘Daylight Horror’ ซึ่งขอสรุปนำมาเล่าดังต่อไปนี้


ประเด็นแรกในบทความดังกล่าวที่มีการเกริ่นไว้อย่างน่าสนใจก็คือ ‘ความมืดกับแสงสว่าง’ แน่นอนว่าโดยทั่วไป เรามักคุ้นเคยกันแต่ไหนแต่ไรมาว่า ‘ความมืด’ คือศัตรูและ ‘แสงสว่าง’ คือมิตร เพราะในเรื่องเล่าตั้งแต่ครั้งอดีต ไม่ว่าจะในตำนาน นิยายหรือกระทั่งมาถึงในยุคของภาพยนตร์ ปีศาจ ผีร้าย วิญญาณหลอน หรือแม้แต่คนชั่วและฆาตกร มักซุ่มซ่อน หลบเร้น หรือแฝงตัวอยู่ในความมืดมิด ดังนั้น ‘ความมืด’ กับ ‘ความกลัว’ จึงมักมาพร้อมเพรียงเคียงคู่กันเสมอ แต่ใน Midsommar ที่เล่าถึงคู่รักหนุ่มสาว แดนี (ฟลอเรนซ์ พิว) กับ คริสเตียน (แจ็ค เรย์เนอร์) และเพื่อนชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งตอบรับคำชวนของ เพลเล่ (วิลเฮล์ม โบลมเกรน) เพื่อนชาวสวีเดนในกลุ่ม เดินทางไปเยือนชุมชนชนบทบ้านเกิดของเขาในสวีเดนช่วงเทศกาลวันกลางฤดูร้อน (midsummer) อันเป็นช่วงครีษมายัน (summer solstice – ช่วงเวลาที่กลางวันยาวนานกว่ากลางคืน) อะไรๆ อาจไม่เป็นเช่นที่เราคุ้นเคยกันเสมอไป


อันที่จริงแอสเตอร์เหมือนจะเตือนผู้ชมตั้งแต่แรกๆ ว่าความ ‘ผิดปกติ’ กำลังจะมาเยือน เห็นได้จากเมื่อบรรดาหนุ่มสาวชาวอเมริกันไปถึงหมู่บ้านเป้าหมายในสวีเดน ท้องฟ้าสว่างกระจ่างใสและแสงแดดเจิดจ้าของที่นั่น ไม่เพียง ‘แตกต่าง’ ไปอย่างสิ้นเชิงกับสภาพอากาศที่อเมริกาในช่วงแรกของหนังที่หนาวถึงขั้นมีหิมะตกและส่วนใหญ่ยังเป็นฉากกลางคืนที่บรรยากาศมืดทึมซึมเซาผสานกับเรื่องเศร้าของความสูญเสียและความสัมพันธ์อันน่าอึดอัดระหว่างคู่รัก ขณะที่ช่วงเวลากลางวันที่ยาวนานผิดปกติในต่างถิ่น ยังทำให้พวกเขาสับสนกับวันเวลา (คริสเตียนใช้ประเด็นนี้เป็น ‘ข้ออ้าง’ เมื่อเขาลืมวันเกิดแดนี ส่วนแดนีที่สภาพจิตใจย่ำแย่อยู่แล้ว ก็ยิ่งนอนไม่ค่อยหลับจนต้องขอยานอนหลับจากเพื่อน) เสริมด้วยผู้คนแปลกหน้า ภาษาที่ไม่คุ้นเคย อีกทั้งบ้านเรือนของวัฒนธรรมท้องถิ่นอันแปลกต่าง ในภาพรวมจึงไม่ต่างกับการพาตัวละครดำดิ่งไปสู่ ‘อีกโลกหนึ่ง’ ซึ่งหากจำไม่ผิด เมื่อตัวละครเพิ่งมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ช็อตหนึ่งยังมีการจงใจให้มุมกล้องหมุนกลับหัวกลับหาง เหมือนดั่งสะท้อนนัยยะแห่งความพลิกผันสลับขั้ว สู่โลกที่ตัวละคร (และผู้ชม) ไม่คุ้นเคย


แน่นอนว่าหนึ่งในสิ่งที่เราแสนจะ ‘ไม่คุ้นเคย’ ก็คือ การให้ฟ้าใส แดดสวย และดอกไม้สดงดงาม กลายเป็น ‘ฉากหลัง’ ของพิธีกรรมสยองและชะตากรรมสุดสะพรึงของบรรดาตัวละคร ที่คงไม่ผิดนักหากจะมองว่าแอสเตอร์ได้ ‘ล้มล้าง’ ความเชื่อว่าที่ ‘ความสว่าง’ เป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ที่เรามักคุ้นเคยกันไปอย่างสิ้นเชิง


ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ เหตุใดไอเดียนี้จึงได้ผล?


เรามักวิตกกังวลน้อยลง และเปราะบางมากขึ้นดร. เบอร์นิซ เมอร์ฟี่ จาก Trinity College Dublin อธิบายกับ BBC “หากคุณอยู่ลำพังในบ้านเก่ามืดๆ อย่างน้อยคุณก็มักหาที่พักพิงให้พอสบายใจได้บ้างจากแสงเทียนหรือหลอดไฟ แต่คุณไม่มีทางหนีได้เลยเมื่อถูกความสยองจู่โจมกลางวันแสกๆ

ด้าน ฟิล โนบิล จูเนียร์ หัวหน้าบรรณาธิการของนิตยสารแนวสยองขวัญ Fangoria ก็ให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ในเหตุผลที่เรียบง่ายกว่าว่าก็เพราะมัน 'จริงเกินไป’ นั่นเอง “เรื่องสยองขวัญกลางแดดจ้ามันได้ผลดีมากก็เพราะมันเชื่อมโยงถึงเราได้อย่างลึกซึ้ง...มันคือที่ที่คุณได้เห็นความชอกช้ำที่เป็นส่วนตัวของคุณชัดเจนที่สุด” โนบิล จูเนียร์ อธิบาย โดยเปรียบเปรยกับเรื่องเศร้า น่าหวาดกลัว กระทั่งเลวร้ายทั้งหลายในโลกความจริง เช่น พิธีศพ เหตุยิงกันในโรงเรียน หรือกระทั่งเหตุวินาศกรรม 9/11 “แสงสว่างจ้ามักจะเป็นฉากหลังให้เรื่องน่าหวาดผวาในชีวิตจริงที่คนเรามักต้องเผชิญ



Blue-sky Killing: ย้อนรอยหนังสยองกลางแดด

Midsommar ของแอสเตอร์ดูจะประสบความสำเร็จในการสร้าง ‘ความแปลกใหม่’ ให้กับหนังสยองขวัญ เห็นได้จากบรรดาคำวิจารณ์ที่ออกมาในเชิงบวกเป็นส่วนใหญ่ และติดอันดับในการจัดลิสต์หนังยอดเยี่ยมแห่งปี 2019 ของนักวิจารณ์หลายสำนัก เช่น The Guardian, Empire รวมถึง BFI แต่กระนั้นกับประเด็น Daylight Horror ที่ดูแปลกใหม่ชวนสะพรึงตะลึงตาในหนังเรื่องนี้ จะว่าไปก็ไม่ใช่ ‘ของใหม่’ ซะทีเดียว เพราะความสยอง ชั่วร้าย น่าหวาดกลัว และชวนผวา หาใช่จะไม่เคยถูกนำเสนอกลางแดดจ้าฟ้าใสเช่นนี้มาก่อน จะมีเรื่องใดบ้างนั้น ขอยกตัวอย่างบางส่วนมาให้ทบทวนความทรงจำกันดังนี้




The Wicker Man (1973)

หนังสยองสุดคลาสสิกสัญชาติอังกฤษเรื่องนี้น่าจะนับเป็นตัวอย่าง ‘ยอดนิยม’ ที่หลายคนมักนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ เมื่อได้ชม Midsommar (หนึ่งในนั้นคือ จอร์แดน พีล ผู้กำกับชื่อดังจากหนังฮ็อตฮิตทั้ง Get Out และ Us) เพราะ Midsommar มีหลายอย่างที่คล้ายกับผลงานกำกับของ โรบิน ฮาร์ดี้ เรื่องนี้ (ถูกรีเมคเป็นหนังชื่อเดียวกันในปี 2006 ที่นำแสดงโดย นิโคลัส เคจ แต่นักวิจารณ์ไม่ค่อยปลื้มนัก) เช่น ตัวละครเอกที่เดินทางไปเยือนดินแดนแปลกที่แปลกถิ่น (ในเรื่องนี้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสืบคดีเด็กหายที่เกาะห่างไกลแห่งหนึ่ง), พฤติกรรมคนท้องถิ่นที่แปลกพิลึกและขนบธรรมเนียมที่ไม่คุ้นเคย, ความสยองในเรื่องที่พัวพันกับพิธีกรรมของลัทธิคัลท์นอกศาสนา (pagan – หนังกลุ่มนี้จึงมีชื่อเรียกเฉพาะว่า neopaganism ด้วย) และที่สำคัญ ฉากสยองสุดสะพรึงทั้งหลายล้วนเกิดขึ้นกลางแดดสวยฟ้าใส




The Texas Chain Saw Massacre (1974)

โจนาธาน บาร์คาน ผู้เชี่ยวชาญด้านหนังสยองขวัญและหัวหน้ากองบรรณาธิการของเว็บไซต์ Dread Central มองว่าหนัง ‘สิงหาสับ’ ของผู้กำกับ โทบี้ ฮูเปอร์ เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นหนังสยองคลาสสิกที่คอหนังคุ้นเคยกันดี แต่ยังเป็นตัวอย่างชั้นดีของหนังสยองกลุ่มย่อย Daylight Horror ด้วย เพราะขณะที่ตัวละครเผชิญสถานการณ์สุดสะพรึงเมื่อพบกับครอบครัวสุดสยองและ ‘เลเธอร์เฟซ’ ที่ถือเลื่อยยนต์ตามไล่เชือดเหล่าตัวละครผู้เคราะห์ร้าย ฉากหลังของหนังกลับช่างขัดแย้งกันซะเหลือเกิน “ฉากนี้มันแสนจะผิดที่ผิดทาง เพราะมันสวยมาก สาวสวยผิวเนียนเดินไปยังบ้านหลังงาม กล้องอยู่ต่ำแต่เงยขึ้นจับภาพท้องฟ้าสวยกระจ่างใส พร้อมก้อนเมฆขาวปุยลอยเอื่อยๆ” บาร์คานบอกกับ BBC “ทว่าแสงแดดอันสวยใส กลับยิ่งโหมกระพือถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา




Jaws (1975)

ณ ชายหาดของเมืองพักผ่อนตากอากาศในช่วงฤดูร้อน ใครบ้างจะไม่อยากเปลี่ยนชุดว่ายน้ำสีสันสดสวยและลงไปเล่นน้ำให้สนุกสนานหรรษา แต่คงต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่ เมื่อมี ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ อย่างฉลามขาวยักษ์กินคนมาร่วมแจม


ต้องยอมรับกันว่านี่ไม่เพียงเป็นผลงานที่ส่งให้ สตีเว่น สปีลเบิร์กแจ้งเกิด’ ให้ตัวเองในฐานะผู้กำกับฝีมือเยี่ยมและเป็นเลิศเรื่องการโกยเงิน (หนังได้รับเครดิตว่าเป็นผลงานที่ให้กำเนิดคำว่า summer blockbuster เพราะกวาดรายได้ถล่มทลายรวมทั่วโลก 470 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างแค่ 9 ล้านเหรียญฯ) ไปพร้อมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ที่ได้ผลดีเลิศ (แบบชวนสะพรึง) ไม่แพ้กันคือ ว่ากันว่านี่เป็นหนังที่ทำให้หลายคนในยุคนั้น ‘ผวา’ กับการลงเล่นน้ำทะเลไปเลย




Insomnia (2002)

ทั้งหนังฉบับรีเมคปี 2002 ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน และหนังนอร์เวย์ต้นฉบับปี 1997 ต่างก็คล้ายกับ Midsommar อยู่นิดตรงที่แสงสว่างจ้าที่เนิ่นนานผิดธรรมดาล้วนแล้วแต่เป็น ‘ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ’ เช่นกัน (กรณีนี้คือ พระอาทิตย์เที่ยงคืน หรือ midnight sun ซึ่งในหนังของโนแลนเปลี่ยนสถานที่ฉากหลังของเรื่องจากนอร์เวย์มาเป็นอะแลสกา) ต่างกันตรงที่มิใช่เรื่องแนวสยองขวัญ (Horror) แต่เป็นลึกลับ-ระทึกขวัญ (Mystery-Thriller) เพราะสิ่งมืดมนชวนสะพรึงในเรื่อง มิใช่พิธีกรรมแปลกประหลาด และแสงแดดก็มิใช่ตัวการที่ทำให้บางคนนอนไม่หลับ หากแต่เป็นความลับและความผิดบาปในใจ




Zodiac (2007)

หนังว่าด้วย ‘นักฆ่าจักรราศี’ เรื่องนี้ของ เดวิด ฟินเชอร์ อาจไม่ได้เน้นนำเสนอความเป็น Daylight Horror อย่างเด่นชัดนัก เพราะมุ่งเน้นเล่าเรื่องจริงในการก่อเหตุของฆาตกรต่อเนื่อง และการพยายามสืบหาตัวฆาตกรมากกว่า แต่กระนั้นก็มีฉากหนึ่งที่ดูจะสะท้อนความเป็น Daylight Horror ได้ดีก็คือ ฉากที่คู่รักไปปิกนิกกันกลางแดดสวยฟ้าใส ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบร่มรื่น กระทั่งความสยองมาเยือนในรูปของฆาตกรต่อเนื่องชื่อกระฉ่อน




MoviesTrueMe




อ้างอิง:

 
 
 

Comments


  • facebook
  • twitter
  • linkedin
  • facebook

©2019 by MoviesTrueMe. Proudly created with Wix.com

bottom of page